
ตรี ภรภัทร -เรียกว่าเป็นพระเอกที่กำลังยึด หัวใจสาวๆ และแฟนละครไปครองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับพระเอกหนุ่ม ตรี ภรภัทร ศรีขจรเดชา
หนุ่มหล่อ ฝีมือดี ที่กำลังเติบโตอย่างเต็มตัว ในวงการบันเทิง และล่าสุดกำลังทำให้แฟนๆ อินจัดหนักในละครดราม่าจัดเต็ม “เวลากามเทพ”
ออนแอร์สุดเข้มข้นทาง ช่องวัน 31 ประกบคู่นางเอกสาว เฟิร์น นพจิรา ที่ตอนนี้เข้าสู่โค้งสุดท้ายใกล้ถึงบทสรุปเข้ามาทุกที
งานนี้ ALARM VARIETY เลยขอพาตัวหนุ่มฮอตคนนี้มานั่งพูดคุยกัน ถึงผลงานชิ้นแซ่บนี้ พร้อมกับมาทำความรู้จักตัวตนเบื้องลึกความเท่
ความยิ้มละมุน ว่าแท้จริงแล้วเป็นหนุ่มสไตล์ไหน อยู่ในวงการมาสักพักแล้ววางแผนกับอาชีพนี้ไว้ยังไงบ้าง
“คาแรกเตอร์ในเรื่องก็จะกวนๆ จริงจัง แต่มีความขี้เล่น มีความแสบอยู่ในตัว และเอาแต่ใจอยู่หน่อยๆ ด้วย ส่วนตัวผมคิดว่าตัว “ธาม” ความน่าสนใจของเขา
คือ เป็นตัวละครที่มีหลายมิติมาก เขาจะมีความคิดที่เวลาเขาตัดสินใจ เรายัง โอ้โห ขนาดนี้เลยเหรอ แล้วก็มีความแซ่บในตัวด้วย (หัวเราะ) ตอนเห็นบทครั้งแรก
ผมมองว่าบทนี้ยากนะ ด้วยตัวบทก็ยากอยู่แล้ว ดราม่ามากๆ มีโรแมนติก แล้วยังมีแอ็คชั่นด้วย มีคอมเมดี้หน่อยๆ ครบรส”
การถ่ายทำเรื่องนี้ยากตรงไหนบ้าง?
“ระหว่างถ่ายทำผมก็รู้สึกว่ายากมากๆ เลย ด้วยความที่เป็นซีนอารมณ์เยอะมาก เรื่องของการร้องไห้ ซีนแบบนี้สำหรับผมยากมาก เรื่องสภาพแวดล้อมต่างๆ
เรื่องโควิดการถ่ายทำก็ยากขึ้นไปอีกเพราะเราต้องระวังกันมากขึ้น มีหลายครั้งที่เราต้องเบรกการถ่ายทำทำให้ขาดตอนไปบ้าง อย่างผมเองก็มีช่วงติดโควิด
ก็ต้องหยุดไปรวมๆ แล้วก็ถ่ายทำเป็นปี”
ตรี ภรภัทร มาเจอกับ “เฟิร์น นพจิรา” ครั้งแรก
“เจอกันครั้งแรกเลยครับ ก่อนหน้านี้ไม่เคยร่วมงานกันมาก่อนเลย แต่พอมาเล่นด้วยกันแล้วดีเลยครับ มีเคมีเกิดขึ้นเยอะ รับส่งกันดี เข้าใจกัน
แล้วก็มีความน่ารักเวลาทำงานด้วยกัน”
เลิฟซีนแน่นๆ
“ก็ได้อยู่ครับ (ยิ้ม) โหดพอสมควรนะ ค่อนข้างจะเข้มข้น ตอนถ่ายก็เขินนะ เขินเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เพราะเราเป็นเพื่อนกันพอต้องมาเลิฟซีน มาจูบกันก็เขินๆ
ต้องละลายพฤติกรรมก่อน ผมก็บอกเฟิร์นตลอดว่าขอโทษนะ ตอนถ่ายก็เต็มที่ จะได้ไม่ต้องเล่นหลายรอบ เรื่องนี้ก็ถือว่าเลิฟซีน หนักสุดเท่าที่เคยเล่นมาแล้ว”
บอสใหญ่ “บอย ถกลเกียรติ” มากำกับและดูแลใกล้ชิด
“ไม่เชิงว่ากำกับเต็มตัวครับ แต่จะเข้ามาช่วยดู เข้ามาแนะนำว่าน่าจะเป็นแบบนี้ หรือ แบบนี้ๆ น่าจะดีกว่าอะไรแบบนี้ครับ
เพราะบางทีในเรื่องของการตีความเราอาจจะตีความได้ในระดับนึง พี่เขาก็มาช่วยตีความให้เราเห็นหลายๆ มุม”
“ถามว่าเกร็งไหม เกร็งอยู่แล้วครับ (หัวเราะ) เกร็งแน่นอน แต่ว่าเราต้องทำให้ได้ เราเกร็งก็จริง แต่เราต้องรับผิดชอบหน้าที่ของเรา
เวลาทำงานก็ต้องขจัดความรู้สึกเกร็งออกไปให้หมดครับ”
คาดหวังกับผลงานชิ้นนี้ไว้ยังไง
“ไม่อยากคาดหวังเลยครับ (หัวเราะ) เพราะว่าเราคิดเสมอว่าเราต้องทำให้เต็มที่ที่สุด เราไม่รู้หรอกครับว่าเราทำไปแล้วมันจะได้หรือไม่ได้
มันไม่มีสูตรตายตัวว่าเรื่องนี้ จะได้หรือไม่ได้ จะดังหรือไม่ดัง เราคิดแค่ว่าเราเต็มที่ กับเป้าหมายในงานของเรา แค่นี้น่าจะแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจ
และคุณภาพของงานเราครับ อย่างเรื่องนี้ก็ต้องติดตามกันต่อไป แต่คอนเฟิร์มว่าไม่ผิดหวัง”
มาถึงเรื่องชีวิตตอนนี้บ้าง หลังจากหายจากโควิดมา ตอนนี้ดูแลตัวเองยังไงบ้าง?
“พยายามการ์ดไม่ตกครับ ตอนถ่ายอาจจะต้องถอดแมสก์ แต่นอกเหนือจากนั้นเราสวมแมสก์ ตลอดเพราะความเสี่ยงเยอะ เป็นแล้วก็เป็นอีกได้
ถามว่าน่ากลัวไหม มันไม่น่ากลัวเท่าไหร่ หรอกแต่มันเสียเวลา ทั้งกักตัว รักษาตัวรอ ให้เชื้อมันหมด กว่าจะได้กลับมาทำงานก็ใช้เวลานาน
เวลาของเราเอาไปทำอย่างอื่นได้อีกเยอะเลย คิดถึงช่วงเวลาที่พวก เราไม่ต้องใส่แมสก์กัน ตอนนี้ไม่มีแล้ว การใช้ชีวิตก็ต้องปรับเปลี่ยนไป
โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัย”
โควิดกระทบเรื่องงาน เรื่องรายได้เยอะไหม?
“ไม่เท่าไหร่ครับ เพราะปกติผมไม่ใช่คนใช้เงินเยอะ เรายังไม่ได้มีหน้าที่ต้องแบกรับ หรือ มีภาระอะไร ก็เลยยังไม่ได้รับผลกระทบเรื่องนี้เท่าไหร่ครับ
อย่างเรื่องงานก็มีเสียโอกาสไปบ้าง แต่ก็ต้องทำความเข้าใจว่ามันไม่ช่แค่เราคนเดียว สิ่งนี้กระทบคนทั่วโลกเลย เราคงทำอะไรมาก
ไม่ได้นอกจากยอมรับ และหาหนทางแก้ไขกันไป”
อยู่วงการมา 6 ปี แล้วปรับตัวกับชีวิตในวงการได้หรือยัง?
“เข้าที่เข้าทางแล้วนะครับ แต่เราไม่ได้หวือหวาอะไรขนาดนั้น บทบาทในเรื่องก่อนๆ ก็เหมือนเป็นการ ลองบทว่าเราเหมาะกับอะไร
เพิ่งมาเรื่องนี้ที่ได้รับบทนำแบบเต็มตัว ตั้งแต่เข้าวงการมา ชีวิตก็ไม่ได้เปลี่ยนแบบเป็นหน้ามือ เป็นหลังมือขนาดนั้น ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ค่อยๆ เดินไปทีละก้าวดีกว่า”
เป้าหมายของ “ตรี” ในวงการนี้เป็นยังไง?
“เป้าหมายของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน สำหรับผมเป้าหมาย ก็คือเวลาเราทำงานก็ อยากจะประสบความสำเร็จ ในหน้าที่การงาน
ไม่ใช่เรื่องความดังหรือ กระแสอะไรนะครับ แต่อยากรู้สึกว่าเราสามารถ มอบความสุขให้เขาได้จริงๆ เราเป็นตัวอย่างได้
ดูละครเราแล้วนำไปปรับใช้ในชีวิตได้จริงๆ รวมทั้งเราก็อยากทำชิ้นงานที่ได้รับการการันตี ว่าเราทำงานด้วยความตั้งใจ
ถ้าได้รางวัลก็อาจ จะทำให้แพสชั่น ของเรามันมี ความสุขมากกว่าเดิม
เหมือนเราสอบแล้ว ได้ที่หนึ่งอะไร แบบนี้ครับ เราไม่ได้ตั้งเป้าว่าต้องได้นะ แต่ถ้าได้ก็คงดี มันคือความภูมิใจ”
วงการคือความฝันเลยไหม?
“ไม่เลย ตั้งแต่เด็กมา ไม่เคยมีความฝันว่าอยาก เป็นอะไรเลย แต่พอมีโอกาส ได้เข้ามาลองทำงานตรงนี้ เราก็เหมือนลองดู ไม่ได้คิดว่าจะยาก
ไม่ได้คิดว่าต้องตั้งใจอะไรขนาดนี้ มาขำๆ แค่เขาเรียกให้มาก็มา ไม่เคยตั้งเป้าหมายเลย ว่ามาแล้วต้องเป็นพระเอก หรือมาแล้วต้องดัง
แต่พอมาทำแล้วมันไม่ขำ (หัวเราะ) เป็นสิ่งที่ต่างจากคนนอก มองเข้ามาเยอะมากๆ คนอาจจะคิด โอ้ย มาเป็นนักแสดง เล่นตามบทไป เดี๋ยวก็ดัง
เดี๋ยวก็รวย มีตังค์ ทุกอย่างเป็นความคิดที่ผิดหมดเลย งานตรงนี้มันมีหลายๆ อย่างที่เราต้องมาเจอ เจอผู้ใหญ่ เจอเพื่อนร่วมงาน
เจอหน้าที่การทำงานที่เราต้องรับผิอชอบ เจอชีวิตใหม่ๆ”
“ตอนผมเข้ามาใหม่ๆ เรื่องที่ยากสุดสำหรับผม ก็เป็นเรื่องการแสดงนี่แหละครับ ท่องบทไม่ได้ แค่ท่องบทอย่างเดียว ก็เอาให้ผ่านก่อน พูดให้ถูกก่อน
อารมณ์ค่อยตามมา แรกๆ ถามว่าท้อใจไหม มันไม่ท้อใจนะ แต่ไม่อยากเป็นตัว ถ่วงมากกว่า การที่เราร่วมงานกับนักแสดง ที่มีประสบการณ์มาแล้ว
และเราเป็นเด็กใหม่ คนเดียวแล้วเราทำไม่ได้ ทำให้เรารู้สึกว่าเป็นตัวถ่วงให้เขาเสียเวลา แต่ก็ก้าวผ่านความรู้สึกเหล่านั้นมาได้ เพราะเราเริ่มมีประสบการณ์
ประสบการณ์จะสอนเรา เราทำงานเราก็จะเห็นจุดบกพร่องของเราและนำมาปรับปรุง”
แล้วตอนนี้มองอาชีพนี้ยังไง?
“ตอนนี้กลายเป็นอาชีพที่รักไปแล้วครับ เป็นสิ่งที่เราตื่นมา แล้วเรามีสิ่งที่เราต้องทำ ถ้าไม่มีอาชีพนี้ผมตื่นมาก็คงไม่รู้ว่าจะทำอะไรครับ
ทุกวันนี้เราตื่นาก็รู้สึกว่า โอเค เราจะไปทำงานนะ ไปมอบความสุขให้คน ไปมอบความบันเทิงให้ทุกคน มันสร้างแพสชั่น ให้เราทำให้ชีวิตเรายังมีเป้าหมายอยู่”
“แล้วในส่วนของการทำงาน มันท้าทายเรา ถึงมันจะยากแต่เราอยากทำมันให้ได้ การถ่ายละคร ก็เหมือนเป็นไบโพล่าเลยนะ อย่างเรานั่งคุยกันอยู่เนี้ย
แต่พอไปเข้าฉากก็ต้องเปลี่ยนไปร้องไห้อีกละ ไปต่อยตี ไปเครียดอีกละ เป็นหลายๆ อย่างในคนคนเดียวกัน”
การใช้ชีวิตกับวงการบันเทิงล่ะ ปรับได้ไหม?
“ในเรื่องของการใช้ชีวิตในวงการ ตอนนี้ผมก็มีความ เป็นส่วนตัวนะ แต่เราก็ต้องแยกแยะ ให้ได้ บางทีเราก็ต้องเริ่มทำอะไรที่เราไม่เคยทำ
เมื่อก่อนผมเป็นคนไม่ชอบออกกล้อง ไม่ชอบเป็นจุดสนใจ เราก็ต้องประบทัศนคติตัวเอง เพราะเราทำงานตรงนี้เราต้องเปิดรับเยอะขึ้น
เฟรนด์ลี่เยอะขึ้น เปิดทัศนคติของเราให้ดีขึ้น ถามว่ายากไหมเหรอ ผมว่าเราโตขึ้นด้วยแหละ เราเข้าใจมากขึ้น ลดทิฐิลงมาหน่อย ต้องพูดตรงๆ
ว่าเด็กๆ เราก็เกเร อยู่กับเพื่อน เฮี้ยวๆ ไม่ต้องการเป็นจุดเด่น แต่วันนึงเราโตขึ้น เราทำงาน ก็ได้เรียนวิชาตรงนี้ คิดว่าอย่าทำตัวให้เป็นน้ำเต็มแก้ว
โลกใบนี้มีคนเกิดก่อน เราตั้งเยอะแยะ เราก็รับฟังว่าอะไรดี หรือ ไม่ดีแล้วค่อยมาตัดสินใจอีกทีนึง”
และท่านสามารถ ติดตามข้อมูล ข่าวสาร ต่าง ๆ ทั่วมุมโลก ข่าวสด รวดเร็วกว่า อีกทั้ง ข่าวฟุตบอล ตารางการแข่งขัน
ผลบอล และการ วิเคราะห์บอล // ทีเด็ดบอล ไฮไลบอล แทงบอล แทงบอลออนไลน์ และยังมี บาคาร่า รูเล็ต ufabet